วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562

My work of art




My work of art 





ชื่อผลงาน: เด็กหญิง
ชื่อ:น.ส.เอื้อมพร ดวงแก้ว
ขนาด: 29.7×21 cm
เทคนิค:ปากกาPigma
สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา







ชื่อผลงาน: หลงใหล
ชื่อ:น.ส.เอื้อมพร ดวงแก้ว
ขนาด: 29.7×21 cm
เทคนิค:ปากกาPigma
สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา








ชื่อผลงาน: James P. Sullivan (สีโทนเย็น)
ชื่อ:น.ส.เอื้อมพร ดวงแก้ว
ขนาด: 29.7×21 cm
เทคนิค:สีโปสเตอร์
สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา







ชื่อผลงาน: เครื่องครัว
ชื่อ:น.ส.เอื้อมพร ดวงแก้ว
ขนาด: 29.7×21 cm
เทคนิค:สีโปสเตอร์
สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา






ชื่อผลงาน: Boo (สีโทนร้อน)
ชื่อ:น.ส.เอื้อมพร ดวงแก้ว
ขนาด: 29.7×21 cm
เทคนิค:สีโปสเตอร์
สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา







ACRYLIC COLOUR



    สีอะครีลิค  ACRYLIC  COLOUR
          
         สีอะครีลิค  เป็นสีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ ( Polymer) จำพวก อะครีลิค ( Acrylic ) หรือ ไวนิล ( Vinyl ) เป็นสีที่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุด วลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ  ใช้งานได้เหมือนกับสีน้ำ และสีน้ำมัน มีทั้งแบบโปร่งแสง และทึบแสง แต่จะแห้งเร็วกว่าสีน้ำมัน 1 - 6 ชั่วโมง  เมื่อแห้งแล้วจะมี คุณสมบัติกันน้ำได้และเป็นสีที่ติดแน่นทนนาน  คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเก็บไว้ได้นานๆ ยึดเกาะติดผิวหน้าวัตถุได้ดี เมื่อระบายสีแล้วอาจใช้น้ำยาวานิช ( Vanish ) เคลือบผิวหน้าเพื่อป้องกัน การขูดขีด เพื่อให้คงทนมากยิ่งขึ้น  สีอะครีลิคที่ใช้วาดภาพบรรจุในหลอดหรือขวด  มีราคาค่อนข้างแพง 

คุณสมบัติของสีอะครีลิค
            “สีอะครีลิค” เป็นสีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ (Polymer) จำพวก อะครีลิค (Acrylic) หรือ ไวนิล (Vinyl) เป็นสีที่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุด เวลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ ใช้งานได้เหมือนกับสีน้ำ และสีน้ำมัน บ่อยครั้งที่เราเรียกเจ้าสีอะคริลิคว่าเป็นสีอัจฉริยะ เพราะมันสามารถนำไปใช้กับงานหลากหลายประเภท แถมยังระบายได้กับหลายพื้นผิวอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น โลหะ ไม้ พลาสติก แก้ว ผ้า และกระดาษ
       นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติที่แห้งเร็ว ติดแน่นกับพื้นผิวได้ดีและทนทาน จึงไม่น่าแปลกใจที่สีอะคริลิคจะกลายเป็นสียอดนิยมที่คนทั่วไปเลือกใช้กันลักษณะของสีเป็นแบบทึบแสง ซึ่งถ้าระบายแบบหนาๆ จะดูเหมือนภาพวาดด้วยสีน้ำมัน แต่จะดีกว่าตรงที่ไร้กลิ่นและปลอดสารพิษ จึงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของผู้ใช้ หรือถ้าระบายแบบบางๆ ก็ดูเหมือนระบายด้วยสีน้ำเช่นกัน เห็นไหมล่ะครับ ว่าเจ้าสีนี้มันอัจฉริยะขนาดไหน

พื้นฐานการระบายสีอะคริลิค
         


          อย่างแรกเราต้องไม่ลืมว่า สีอะคริลิคนั้นเป็นสีทึบแสงเวลาที่ระบายไปแล้ว สีอาจจะไปทับลายเส้นที่วาดเอาไว้ได้ และจะทำให้เรามองไม่เห็นรูปภาพที่จะระบายได้ ฉะนั้นสำหรับผู้เริ่มต้น อาจใช้พู่กันลากสีตามเส้นภาพที่วาดไว้ก่อนจะระบายสีก็ได้ ต่อจากนั้นจึงค่อยทำการระบายสีบนรูป แต่ข้อควรระวังก็คือ สีอะคริลิค เป็นสีที่แห้งเร็วมาก การระบายจึงต้องมีความแม่นยำจริงๆ และอุปกรณ์ที่ใช้กับสีอะคริลิคต่างๆ อย่างพู่กัน และจานรองสี เมื่อใช้เสร็จแล้ว ควรล้างออกในทันทีเพราะถ้าสีแห้ง อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะนำกลับมาใช้งานไม่ได้อีก

           และนี่คือเทคนิคง่ายๆ เบื้องต้น ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้ในการวาดรูปของคุณ ให้ดูสวยงามและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทั้งยังเป็นการผ่อนคลายยามว่าง และช่วยสร้างเสริมจินตนาการของคุณอย่างไม่รู้จบถ้าคุณ

ขั้นตอนการวาดภาพสีอะครีลิค
1. ร่างภาพที่เราต้องการวาด สำหรับมือใหม่แนะนำให้ร่างภาพให้ละเอียด เพราะจะมีผลตอนลงสี ถ้าไม่ละเอียด หรือร่างภาพเบาไปเวลาลงสีภาพที่ร่างไว้จะหายไป
2.ลงสีเพื่อคลุมโทนภาพ ให้ดูภาพต้นแบบว่าโทนภาพสีอะไร แล้วลงสีตามนั้น ขั้นตอนนี้ให้ละลายสีอะคลีลิคให้จางๆเพราะถ้าลงสีเข้ม ภาพที่ร่างไว้จะหายไป เมือเรียบร้อยแล้วก็เกลี่ยสีให้เสมอ วิธีนี้ช่วยทำให้ภาพที่ออกมาดู ซอฟ และเป็นธรรมชาติ
3.เมื่อลงสีพื้นเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเริ่มลงสีในส่วนของรายละเอียดของภาพในส่วนต่างๆ เช่นใบหญ้าสีเขียว หยดน้ำ ลงสีแค่ให้รู้ว่าตรงไหนสีอะไร แล้วค่อยมาเก็บมิติ ความลึกตื้นของภาพภายหลัง จะทำให้สีสม่ำเสมอ ไม่มากไปหรือน้อยไป
4.เมื่อเราลงสีในส่วยต่างๆ ของภาพเรียบร้อย ก็เริ่มเก็บรายละเอียดในส่วนรายละเอียดของภาพ เมื่อเรียบร้อยก็เริ่มลงสีในส่วนของบรรยากาศ
5. หลายคนมักลงสีในส่วนของบรรยากาศก่อน อันนั้นก็ไม่ผิด แต่การวาดภาพบรรยากาศภายหลังวาดภาพหลักมักทำให้ภาพดูสมจริงมากขึ้น เพราะตามความเป็นจริงแล้ว บรรยากาศครอบคลุมสรรพสิ่ง
6.เกลี่ยสีของบรรยากาศในส่วนต่างๆ ไล่สีให้กลมกลืนกับสีในส่วนสว่าง ซึ่งเป็นสีที่เราระบายคลุมโทนเอาไว้ในตอนแรก จะเห็นได้ว่า ถ้าเราไม่ระบายคลุมโทนไว้แต่ต้น ขั้นตอนนี้จะทำได้ยากมากมาก อาจต้องใช้เวลา และสีก็มักจะดูไม่เป็นธรรมชาติ
7.เมื่อลงสีของบรรยากาศเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเก็บรายละเอียดของภาพอีกครั้ง เพื่อคัดให้ภาพโดดเด่นขึ้น เช่น ภาพของหยดน้ำค้างที่ต้องแสงอาทิตย์ ซึ่งขั้นตอนพวกนี้เรามักทำภายหลัง เพราะต้องการความสดของสี เพื่อเน้นให้เกิดความโดดเด่น สวยงาม






ดอกไฮเดรนเยีย (hydrangea)

 


                                             ดอกไฮเดรนเยีย (hydrangea) 







      สำหรับคนที่ชอบดอกไม้สีสวย ๆ อย่างไฮเดรนเยียมาทำความรู้จักต้นไม้ชนิดนี้ให้มากขึ้น พร้อมวิธีการปลูก การดูแล และประโยชน์ที่มีดีมากกว่าเอาไว้จัดสวนกันค่ะ 



ดอกไฮเดรนเยีย

          


ประวัติไฮเดรนเยีย



          ไฮเดรนเยีย (Hydrangea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrangea macrophylla (Thunb.) Ser. อยู่ในวงศ์ Hydrangeaceae เป็นพืชพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออก อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ มีถิ่นกำเนิดมาจากจีนและญี่ปุ่น โดยสายพันธุ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นลูกผสมทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับชื่อ ไฮเดรนเยีย (Hydrangea) นั้นมีที่มามาจากภาษากรีกที่แปลว่า Bowl of Water ซึ่งก็มาจาก Water (Hydro) และ Vessel (Angeion)


          โดยในต่างประเทศมักจะรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ในชื่อ ฮอร์เดนเชีย (Hortensia) ส่วนในไทยก็มีคนเรียกว่า ดอกสามเดือนบ้าง ดอกหกเดือนบ้าง ซึ่งต้องบอกเลยว่าจริง ๆ แล้วคนไทยเรารู้จักกับไฮเดรนเยียมาอย่างยาวนาน โดยคาดกันว่าเป็นพรรณไม้นำเข้าจากต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว เนื่องจากพระองค์มักจะชอบนำดอกไม้นานาชนิดเข้ามาปลูกในพระราชวังอยู่เสมอ


          ซึ่งจุดเด่นของดอกไม้ชนิดนี้ นอกจากเรื่องความสวยงามแล้ว ก็จะอยู่ที่บางพันธุ์สามารถเปลี่ยนสีของดอกได้ตามค่าความเป็นกรด-ด่าง ของดิน จึงทำให้ผู้คนทั่วไปชื่นชอบการปลูกดอกไม้ชนิดนี้กันมาก


ความหมาย


          ดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความนุ่มนวลน่าสัมผัส อีกทั้งยังมีความหมายแฝงแทนคำขอบคุณ เช่น ขอบคุณที่เข้าใจกันหรือขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกัน ทว่าบางคนก็บอกว่าดอกไม้ชนิดนี้สื่อถึงความเย็นชา เนื่องจากสามารถทนกับอากาศหนาวได้เป็นอย่างดี 



ดอกไฮเดรนเยีย

ลักษณะ

          ลำต้น : ไฮเดรนเยียเป็นไม้ดอกอายุนานหลายปี ลำต้นเป็นทรงพุ่มกว้าง สูงประมาณ 1-3 เมตร อาจจะผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้


          ใบ : ไฮเดรนเยียมีใบเป็นรูปไข่ ปลายแหลม โคนมน ใบค่อนข้างกว้าง หนา ส่วนขอบใบจะหยักแบบฟันเลื่อย


          ดอก : ไฮเดรนเยียออกดอกเป็นช่อ เกิดที่ปลายยอด โดยแต่ละช่อจะประกอบไปด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ มากมาย โดยแต่ละชนิดก็จะออกดอกสีสันแตกต่างกันออกไป มีทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู สีม่วง และสีฟ้า ซึ่งก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าจุดเด่นของไฮเดรนเยียนั้นอยู่ที่ดอกสามารถเปลี่ยนสีได้ตามค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน กับปริมาณของฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ดังนั้นถ้าอยากให้ดอกมีสีน้ำเงินก็ต้องทำให้ดินปลูกมีสภาพเป็นกรด แต่ถ้าหากอยากได้ดอกสีชมพูหรือสีม่วง ก็ให้ทำให้ดินมีค่าเป็นด่าง ส่วนดอกที่มีสีครีมซีดจะเกิดจากดินที่มีสภาพเป็นกลางนั่นเอง  



ดอกไฮเดรนเยีย

วิธีปลูก
          ไฮเดรนเยียเป็นพืชที่นิยมปลูกและขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ โดยควรปักชำในฤดูร้อนหรือฤดูฝนจะเหมาะที่สุด ซึ่งวัสดุในการปักชำที่ควรใช้ก็ได้แก่ ขุยมะพร้าวหรือถ่านแกลบกับทรายหยาบ ในอัตรา 2:1 ส่วน จากนั้นก็นำกิ่งไฮเดรนเยียที่ยังไม่ออกดอก ความยาวประมาณ 5-6 นิ้ว มาถอนใบคู่ล่างออก พร้อมตัดใบออกครึ่งหนึ่งเพื่อลดการคายน้ำ จากนั้นก็ปักก้านลงไปในวัสดุปลูก สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ เมื่อเริ่มมีจำนวนและรากที่ยาวเพิ่มขึ้นก็ย้ายลงดินได้เลย โดยดินที่ใช้ในการปลูกควรเป็นดินร่วนปนทราย ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี และมีความชื้นสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าใครที่ปลูกลงในแปลงปลูก ก็ให้ปลูกแบบสลับฟันปลา เพราะต้นไม้ชนิดนี้เป็นทรงพุ่มกว้าง ถ้าปลูกติดกันจะเบียดจนทรงไม่สวย และเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ควรปลูกในที่ร่มและมีอากาศเย็นที่อุณหภูมิประมาณ 14-18 องศา ชอบแสงแดดรำไร ระวังอย่าให้ต้นโดนแสงแดดจัด ๆ นาน ๆ เพราะอาจจะทำให้ใบอาจจะไหม้และตายได้  

การดูแล


          ให้หมั่นดูแลและระวังโรคใบจุด โรคราแป้ง และพวกแมลงศัตรูพืชด้วย ส่วนน้ำให้รดตอนเช้า พยายามอย่ารดให้ดินแฉะจนเกินไป ส่วนปุ๋ยก็ให้ให้ทุก ๆ สัปดาห์ เป็นเวลาติดต่อกันนานประมาณ 2 เดือน หลังย้ายลงดิน 



ดอกไฮเดรนเยีย

ประโยชน์และสรรพคุณ

          ดอกไฮเดรนเยียมักถูกนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการประดับตกแต่ง เนื่องจากมีลักษณะสวยงามและสีสันสดใส โดยคนส่วนใหญ่มักจะนำดอกไม้ชนิดนี้ไปใช้เป็นแบล็กดรอป ในงานต่าง ๆ หรือไม่ก็นำไปปลูกเพิ่มความสวยงามให้กับบ้านเรือนหรือสวน รวมถึงนำไปจัดเป็นช่อดอกไม้สวย ๆ สำหรับเจ้าสาวด้วย


          ทว่าจริง ๆ แล้วไฮเดรนเยียก็ยังมีสรรพคุณดี ๆ อื่น ๆ แฝงอยู่เพียบ โดยทางแพทย์ตะวันตกจะนำไฮเดรนเยียไปใช้ในการรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ และโรคนิ่วในไต อีกทั้งบางตำราก็ยังบอกว่าไฮเดรนเยียช่วยแก้อาการคลื่นไส้ ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ลักปิดลักเปิด เกล็ดพอง รูมาติสซั่ม และอัมพาดได้อีกต่างหาก


          แถมยังไม่หมดแค่นั้น เพราะการเคี้ยวเปลือกของไฮเดรนเยียยังสามารถช่วยลดอาการปวดท้องหรือปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ ส่วนรากก็นำมาใช้สกัดลดไข้ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ใบก็นำไปสกัดรักษาอาการไข้มาลาเลียได้ รวมถึงเรายังสามารถนำไฮเดรนเดียมาใช้พอกแผลได้อีกด้วย


          แต่ถึงแม้ไฮเดรนเยียจะมีประโยชน์และสรรพคุณดี ๆ อยู่มากเพียงใด ทว่าก็ต้องนำมาใช้ให้ถูกหลักและผ่านการสกัดเอาสารพิษออกก่อน เพราะต้องบอกเลยว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้ที่มีสารพิษไซยาไนด์ซ่อนอยู่ ถ้าเผลอกินเข้าไปแบบไม่ถูกต้องจะทำให้มีอาการ หน้าซีด ตัวเหลือง คลื่นไส้อานเจียน หรืออาจถึงขั้นทำให้เกิดการช็อก หมดสติ และหัวใจวายได้





















Autonomous Things นวัตกรรมไร้คนขับ

 Autonomous Things นวัตกรรมไร้คนขับ



ยานพาหนะไร้คนขับ นวัตกรรมแห่งอนาคต
ยานพาหนะไร้คนขับ (Autonomous Vehicles) คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูง (Advance Robotics) มาพัฒนาและปรับใช้เป็นยานพาหนะไร้คนขับในการเดินทาง (Self-Driving Car) และการขนส่งสินค้า (Self-Driving Truck) โดยมีการประยุกต์ใช้จากเทคโนโลยีหลายสิ่งประกอบกัน ได้แก่ เซ็นเซอร์ (เพื่อจับสัญญาณสิ่งกีดขวางรอบตัวรถ) (INTERNET OF THINGS) ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) และ Big Data Analytics (เพื่อความอัจฉริยะในการขับขี่) อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมยานพาหนะไร้คนขับในปัจจุบัน ยังคงติดอุปสรรคในด้านการยอมรับจากสังคมในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากยังคงมีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการทดสอบ Autonomous Vehicles นี้อยู่เป็นระยะๆ

ระดับของยานพาหนะไร้คนขับมีทั้งสิ้น 6 ระดับ ดังนี้ ระดับที่ 0 : มนุษย์ขับเคลื่อนยานพาหนะเอง (ยานพาหนะส่วนใหญ่อยู่ในระดับนี้ ) ระดับที่ 1 : ยานพาหนะเริ่มช่วยมนุษย์ขับเคลื่อนบ้าง (มีเซ็นเซอร์คอยเตือนเมื่อขับออกนอกเลน ช่วยในการเบรกกะทันหัน เป็นต้น) ระดับที่ 2 : ยานพาหนะขับเคลื่อนได้เองบางส่วน (ควบคุมพวงมาลัย เร่งเครื่อง เบรก ได้พร้อมกัน และจอดเข้าซองได้เอง) ระดับที่ 3 : ยานพาหนะขับเคลื่อนได้เองเป็นส่วนใหญ่ โดยมีมนุษย์คอย Support และแก้ไขสถานการณ์อยู่หลังพวงมาลัย ระดับที่ 4 : ยานพาหนะขับเคลื่อนได้เองแบบสมบูรณ์ โดยมนุษย์ไม่ต้อง Focus อยู่หลังพวงมาลัย (นั่งอ่านหนังสือที่เบาะหลังได้) แต่อาจต้องเข้าควบคุมยานพาหนะในบางสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน ระดับที่ 5 : ยานพาหนะสามารถขับเคลื่อนได้เองแบบสมบูรณ์พร้อม โดยไม่ต้องมีที่นั่งสำหรับคนขับ ไม่ต้องมีพวงมาลัย มีเพียงที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร เหมือนยานอวกาศ การพัฒนายานพาหนะไร้คนขับมีบริษัทรถยนต์ และเทคโนโลยี แข่งขันกัน เพื่อแบ่งเค้กก้อนโตในธุรกิจแห่งอนาคตนี้อยู่หลายบริษัท เช่น Google, Tesla, Nutonomy, BMW, Honda, Toyota, Audi, Apple, Benz, Volvo และ GM เป็นต้น ประเด็นสำคัญของการเป็นผู้ชนะในธุรกิจนี้ คือ การทำให้ยานพาหนะมีความเร็วเฉลี่ยมากที่สุด ภายใต้ความปลอดภัยที่ยอมรับได้ เนื่องจากการขับเคลื่อนยานพาหนะจะถูกควบคุมโดย AI เป็นหลัก ซึ่ง ระบบ AI มีความสามารถจดจำการเห็นภาพบริบทต่างๆบนท้องถนน ได้แก่ สัญญาณไฟจราจร คนข้ามถนนที่ทางมาลัย และจะทำหน้าที่ตัดสินใจให้ยานพาหนะหยุด หรือเคลื่อนที่ไปต่อ ในกรณีที่ระบบ AI อนุรักษ์นิยมมากเกินไปเพื่อความปลอดภัย ยานพาหนะจะหยุดทุกครั้งเมื่อเจอปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ความเร็วเฉลี่ยของยานพาหนะจะช้าลง การสร้างระบบอัลกอริทึมของ AI ที่มีประสิทธิภาพ คือ ความท้าทายของผู้พัฒนาระบบในการที่จะยอมเสี่ยงที่จะให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปในบางสถานการณ์ที่เป็นจุดวัดใจ แต่มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะชนะ เช่น ในกรณีที่ระบบ AI ไปเจอสถานการณ์ที่มนุษย์กำลังจะเดินข้ามถนนในที่ที่ไม่ใช่ทางม้าลาย ระบบ AI จะวิเคราะห์ว่า ด้วยลักษณะท่าทางของมนุษย์คนนี้ เขาจะตัดสินใจข้าม หรือจะหยุด ในกรณีที่ ความเป็นไปได้ที่เขาจะหยุดมีมากกว่าข้าม (80-20%) AI จะตัดสินใจให้ยานพาหนะขับเคลื่อนต่อไป โดยไม่ต้องหยุด ซึ่งจะส่งผลให้ความเร็วเฉลี่ยของยานพาหนะมีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นผู้ชนะในธุรกิจแห่งอนาคตนี้ ในอนาคตอันใกล้อีก 5-10 ปีต่อจากนี้ ระบบ AI จะเข้ามามีบทบาทต่อต่อภาคอุตสาหกรรมในประเทศอย่างแน่นอน (5 อุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล) และจะเป็นยุคของ Digital Disruption ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเดิม และจะนำไปสู่รูปแบบธุรกิจใหม่โดยมีระบบ AI เป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในยุค Digital Disruption นี้